เทศน์พระ

เทศน์พระ ๑๙

๑ พ.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์พระ วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเป็นพระนะ เป็นพระต้องมีหน้าที่ความรับผิดชอบ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ประเสริฐ เป็นศาสนาแห่งปัญญา ให้สิทธิเสรีภาพกับทุกคนที่ประพฤติในศาสนา

เรามีความเชื่อเรามีความศรัทธาเราถึงได้ออกบวชเป็นพระ เป็นนักรบ รบกับกิเลสไง ถ้ารบกับกิเลสหน้าที่ของเราก็คือหน้าที่ที่จะเอาชนะกิเลสให้ได้ ถ้าเป็นหน้าที่การเอาชนะกิเลสเห็นไหม เพราะเรามีศรัทธาความเชื่อในศาสนา แล้วเราจะดัดแปลงตนนะ ดัดแปลงใจของเราให้เข้าถึงธรรม

ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมที่มีอยู่แล้ว ในปัจจุบันนี้ธรรมก็มีอยู่แล้วครึ่งหนึ่ง กึ่งไง กึ่งของธรรมคือความรู้สึกของใจของเรา ภาชนะที่จะใส่ธรรมได้คือความรู้สึกนี้เท่านั้น ในตำรา ในหนังสือ ในแผ่นดิสก์ต่างๆ นั้น อันนั้นเป็นข้อมูลไง เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต เขาไม่รู้จักอะไรเลยนะ แต่เราเก็บข้อมูลไว้ด้วยความฉลาดของมนุษย์ไง

แต่กึ่งหนึ่งของธรรมคือความรู้สึกนี้เป็นสิ่งที่มีชีวิต ชีวิตเห็นไหม ความรู้สึกไง แต่โดนกิเลสครอบงำ โดนกิเลสครอบงำอย่างนี้แล้วใจมันมาจากไหนล่ะ ? ทำไมมันต้องโดนกิเลสครอบงำล่ะ ? เห็นไหม กิเลส ความปรารถนา ความจงใจ จะทำให้เรามุมานะ มีการแสวงหา มีการดัดแปลงตนเห็นไหม การปรารถนา แรงปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ แรงปรารถนาเป็นมนุษย์ แรงปรารถนาเป็นต่างๆ ทำให้เราสะสมบุญญาธิการ สะสมบุญบารมีเห็นไหม

การสะสมบารมีจากสัตว์เดรัจฉานเป็นสัตว์ประเสริฐ สัตว์ประเสริฐเพราะอะไร ? เพราะเรารู้จักตนเอง เรามีกติกา เรามีศีลธรรมจริยธรรมถึงเป็นสัตว์ประเสริฐ ถ้าเป็นสัตว์เห็นไหม ดูสิ มนุสสติรัจฉาโน ตัวเป็นมนุษย์ ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นสัตว์เห็นไหม ใจเป็นสัตว์เพราะมันมีความต่ำช้า มีความคิดของมันโดยประสาสัตว์ โดยสัญชาตญาณไง

สัตว์มันมีสัญชาตญาณ มันไม่มีศีลธรรมจริยธรรม คือมันไม่รู้จักคุณงามความดีอันประเสริฐ คุณงามความดีของมันนะเป็นคุณงามความดีของสัตว์เดรัจฉานเห็นไหม มันดูแลหมู่คณะนะ มันเป็นหัวหน้าของมัน มันปกป้องลูกน้องของมัน ถ้ามันมีครอบครัวของมัน มันรักลูกรักเมียของมันเห็นไหม มันปกป้องของมัน อันนั้นเป็นสัตว์เดรัจฉานนะ

แต่ถ้าเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐเห็นไหม มันปกป้องครอบครัวของเรา ปกป้องสังคม ปกป้องคุณงามความดีนะ เสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เสียชีวิตเพื่อรักษาธรรม

สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมาเพราะอะไร ? เพราะจิตใจเห็นไหม จิตใจมันเสียสละ จิตใจเพื่อสังคม นี่เสียสละอย่างนี้เป็นหน้าที่ของมนุษย์นะ หน้าที่ของความเป็นอยู่ของสังคม

แต่หน้าที่ของนักบวชล่ะ หน้าที่ของพระ หน้าที่ของภิกษุเห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติคือหน้าที่ของเรา ถ้าหน้าที่ของเรา เราดัดแปลงตนของเราเป็นหน้าที่ของเรา เรามีศรัทธาเรามีความเชื่อเราถึงออกบวชเห็นไหม

การออกบวชอย่างนี้มันมีหน้าที่ของเรา เพราะเราประกาศตนแล้วว่าเราเป็นนักรบ เราประกาศตนเป็นภิกษุเห็นไหม ภิกษุเป็นผู้ขอ ขออะไร ? สิ่งที่ขอนี้มันเป็นอริยประเพณี มันเป็นประเพณีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีภิกษุเป็นผู้ขอ สังคมเขาจะมีการเสียสละได้อย่างไร บุญกุศลมันจะเกิดมาจากไหน

นี่คือสังคมของเรา สังคมของชาวพุทธ เรามีภิกษุแล้วมันถึงเป็นบุญกุศล ถ้าไม่มีภิกษุขึ้นมามันไม่มีรัตนตรัย ไม่มีแก้วสารพัดนึก ไม่มีอะไรสิ่งต่างๆ มันจะเป็นวงจรการปฏิบัติมาได้อย่างไร

วงจรการปฏิบัติ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา สิ่งนี้จะทำอย่างไร ประเพณีของพระอริยเจ้าไง เราถือประเพณีของพระอริยเจ้าเห็นไหม เราบวชขึ้นมาแล้วธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา เราจะไม่ก้าวล่วงธรรมวินัยโดยเจตนานะ แต่ด้วยความพลั้งเผลอมันเป็นธรรมดา มันเป็นสิ่งสุดวิสัย เพราะเราประพฤติปฏิบัติ เรายังมีกิเลสอยู่ เราจะฆ่ากิเลสของเรา

แต่ถ้าเป็นสิ่งที่สุดวิสัยเกิดขึ้นมา เราก็ไม่น้อยเนื้อต่ำใจสิ เพราะ ! เพราะมันเป็นเรื่องของอำนาจวาสนา มันเป็นเรื่องของกรรมเห็นไหม การกระทำกรรมมันมีสภาวะแบบนี้มา พอมันมีสภาวะแบบนี้มา มันเป็นแรงขับ แรงขับของกรรมมันเป็นสภาวะแบบนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างนั้นมันเป็นแรงขับอย่างนั้นเห็นไหม ถ้าเรามีเจตนา เราก็พยายามหลบหลีกสิ่งนี้ให้มันเข้าไปในธรรมและวินัย

ถ้าเข้าไปในธรรมและวินัย เราก็เป็นนักรบ เพราะสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์ มันเป็นสิ่งที่จะเข้าถึงธรรม แต่ถ้าเราไม่ฝืนตน เราพยายามทำตามสัญชาตญาณไปเห็นไหม มันออกห่างจากธรรมวินัยนะ ทั้งๆ ที่ว่าเราเป็นภิกษุนี่แหละ ทั้งๆ ที่เราเป็นผู้ประพฤติปฏิบัตินี่แหละ แต่ปฏิบัติโดยกิเลสไง กิเลสมันก็ทำให้เราออกห่างจากธรรมะไปตลอดเวลา ออกห่างจากธรรมะเพราะปฏิบัติโดยกิเลสไง

เหมือนกัน เรามีทรัพย์มีสมบัติของเรานะ ถ้าเราใช้ผิดเห็นไหม มันจะทำอะไรล่ะ มันก็ทำให้เราเสียนิสัย ทำให้เราเสียต่างๆ ไปหมดเลย

แต่ถ้าเราเป็นคนทุกข์จนเข็ญใจ เราพยายามแสวงหาของเรา พยายามสะสมของเรา เงินทองเราก็หาได้ สิ่งนี้หาได้ ถ้าเรารู้จักประหยัดมัธยัสถ์เราเก็บรักษานะ สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาได้ทั้งนั้น

สิ่งนี้เกิดขึ้นมาได้เพราะอะไร ? เพราะศีลธรรม ศีลมันเกิดขึ้นมาในสภาวะแบบนั้น แล้วธรรมล่ะ ธรรมเกิดมาจากไหน เราเกิดมาจากความรู้สึกไง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง เห็นไหม เกิดความรู้สึก สิ่งต่างๆ เรารู้แล้ว รู้ว่าหลุดพ้น ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง มันเกิดญาณทัศนะเห็นไหม

สิ่งที่เป็นยะถาภูตังเพราะอะไร เพราะมันเกิดการปฏิบัติ เกิดจากการสัมผัส ศีลสัมผัสหรือยัง ใจได้สัมผัสหรือยัง ใจได้สัมผัสกับอะไร ใจได้สัมผัสกับกิเลสมันก็เข้ากับกิเลส กิเลสมันพาความรู้สึกอันนี้ไปเห็นไหม

เพราะ ! เพราะความรู้สึกไม่ใช่จิต จิตเป็นพลังงานเฉยๆ นะ พลังงานอันนี้เกิดขึ้นมาจากเราเห็นไหม ปฏิสนธิจิต เรารู้จักได้อย่างไร อะไรมันเป็นปฏิสนธิจิต สิ่งที่มันเกิดๆ มันเกิดตรงไหน สิ่งที่ปฏิสนธิจิต มันเป็นความรู้สึก มันเป็นอารมณ์ มันเป็นอาการ มันเป็นขันธ์ ขันธ์ที่เกิดขึ้นมาจากธาตุ ๔ ขันธ์ ๕

ถ้าธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นะ เทวดาเขาไม่มีร่างกายเหมือนเรา เขาไม่มีธาตุ ๔ เขามีแต่ขันธ์ ๕ แล้วเวลาเป็นพรหมเขาจะมีแค่ขันธ์ ๑ เห็นไหม สิ่งที่เป็นขันธ์ของเขา ขันธ์นะสิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นประสาทสัมผัสของเขาในมิตินั้น ในสถานะนั้น ในภพชาตินั้นเห็นไหม

แต่ในปัจจุบันเราเกิดมาเห็นไหม เราเกิดมาเราก็มีธาตุ ๔ กับขันธ์ ๕ แล้วก็มีจิต จิตเห็นไหม ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร เพราะมนุษย์เขาก็มีของเขาทั้งนั้น นี่แหละที่ว่ากึ่งหนึ่งของธรรม

กึ่งหนึ่งคือตัวจิตนี้ไง ตัวจิตนี้เป็นภาชนะที่จะไปรับรู้สึกธรรม กึ่งหนึ่งของธรรมอยู่กับเรา แต่โดยความเศร้าหมอง โดยอวิชชาครอบงำ เราถึงไม่เคยเห็นจิตของเราเลย เราเห็นอาการของจิตทั้งหมด เราเห็นอาการของมัน

แล้วเรารับรู้อาการของมัน เราก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรมเห็นไหม ธรรมอย่างนี้เป็นธรรมของกิเลสไง เพราะกิเลสมันเอาสิ่งนี้มาหลอกเราไง สิ่งนี้หลอกเรานะ เวลาปฏิบัติก็ปฏิบัติโดยกิเลสเห็นไหม ต้องนั่งสมาธิ ต้องภาวนา ก็ทำสักแต่ว่า ถ้าทำโดยกิเลสทำสักแต่ว่า ทำให้ครบจำนวนเวลา ครบจำนวนที่เราตั้งกติกาเอาไว้ไงเห็นไหม

ทั้งๆ ที่ธุดงควัตรเป็นอริยประเพณี เป็นประเพณีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วางไว้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นะ ! เป็นศาสดาของเรา แล้ววางธรรมวินัยอันนี้ไว้ วางธุดงควัตรไว้ ให้เป็นเครื่องขัดเกลากิเลส เครื่องขัดเกลากิเลสกับอะไร ?

พระกัสสปะเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถาม

“กัสสปะ เธอถือธุดงค์ทำไม เธอเป็นพระอรหันต์แล้ว อายุก็ปานเรา แก่ปานนี้ ถือธุดงค์ทำไม”

“ถือเป็นจริตนิสัย เพราะเป็นความรักความสงวน”

“ถือเพื่อใคร?”

“ถือเพื่ออนุชนรุ่นหลังได้เป็นคติตัวอย่าง”

เป็นคติตัวอย่างสำหรับเราภิกษุนักรบในปัจจุบันนี้ ปัจจุบันเราเกิดมา เรามีศรัทธานะ ศาสนาพุทธไม่บังคับใคร ไม่ขู่เข็ญใคร ไม่บีบบังคับใคร แต่เป็นเพราะว่าเราศรัทธา เรามีความเชื่อ เราบวชขึ้นมาแล้ว สิ่งนี้พอเราบวชขึ้นมาแล้ว เราบวชเข้ามาธรรมวินัยต้องเป็นกติกา ต้องเป็นศาสดาของเราบังคับเรา เพราะเราศรัทธาเราเชื่อ เราต้องการแสวงหาธรรม ถึงต้องการบังคับเราไง บังคับเพื่อให้กิเลสมันได้บอบบางลง มันได้เจือจางลงเห็นไหม

การบังคับ.. ศีลต้องเป็นการบังคับ ถ้าไม่บังคับมันจะผิดศีลเห็นไหม ถ้าเป็นสภาวธรรมล่ะ ถ้าบังคับศีล ถ้าศีลเป็นปกติต้องเป็นปกติหมด

แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ เป็นธรรมมันอยู่ที่จริตนิสัยใช่ไหม มันถึงเปิดกว้างไง เปิดกว้างให้ใครจะทำตามจริตนิสัยของตัวเอง ถ้าทำตามจริตนิสัยของตัวเองเห็นไหม เรื่องนี้ มันอาการของจิตกับจิตมันต่างกัน อาการของจิตมันอยู่ที่ความรู้สึกอันนี้ แต่ตัวจิตเห็นไหม ตัวจิตเป็นตัวสักแต่ว่า

ถ้าตัวจิตเป็นตัวสักแต่ว่า แต่ตัวสักแต่ว่าอันนี้มันสักแต่ว่าด้วยความมหัศจรรย์นะ ไม่ใช่สักแต่ว่าด้วยอาการของขันธ์ ที่สักแต่ว่าๆ กันอยู่นี้ มันเป็นสักแต่ว่าของขันธ์ มันเป็นอาการของจิตอยู่แล้ว แล้วเราไปเป็นสักแต่ว่าอีกเห็นไหม มันเลยไหลออกไปโดยกิเลสไง กิเลสพาปฏิบัติ นั่นก็สักแต่ว่า นี่ก็สักแต่ว่า ถ้าสักแต่ว่ามันต้องเป็นพระโสดาบัน !

เวลาพระสารีบุตรฟังธรรมของพระอัสสชิ “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กลับไปดับเหตุ” ดับเหตุคือดับสมุทัย ตัณหาความทะยานอยากในอารมณ์ความรู้สึกอันนั้น

ถ้ามันเข้าไปดับตัณหาความรู้สึกอันนั้น มันก็สักแต่ว่า สักแต่ว่าเพราะมันเป็นความจริงของมัน สักแต่ว่านี้มันต่างอันต่างจริงนะ ขันธ์ก็เป็นจริงของขันธ์ จิตก็เป็นความจริงของจิต ทุกข์ต้องหลุดออกไปจากใจ แต่อันนี้สักแต่ว่าของกิเลส ถ้าสักแต่ว่าของกิเลสมันสักแต่ว่าด้วยเอากิเลสมาครอบหัวไว้เห็นไหม

หน้าที่ก็ผิดพลาด ทำตามหน้าที่ หน้าที่ของนักรบ หน้าที่ของเราต้องทำสัมมาทิฐิความถูกต้อง ถ้าสัมมาทิฐิคือความถูกต้องมันจะเข้าถึงธรรม เข้าถึงความกึ่งหนึ่งของธรรมะที่มีอยู่แล้วเห็นไหม ธรรมะที่มีอยู่แล้ว สิ่งที่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก สัมผัสได้ด้วยใจ

แล้วใจปกคลุมไปด้วยกิเลสมันถึงสัมผัสไม่ได้ แล้วศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็นึกว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรม ถ้าสิ่งนี้เป็นธรรม สักแต่ว่าๆ กิเลสมันครอบงำอีกชั้นหนึ่งเห็นไหม ถ้าครอบงำอีกชั้นหนึ่ง สิ่งนี้ปฏิบัติโดยธรรม

นักรบๆ กับอะไร นักรบๆ กับกิเลสเพื่อจะชนะตน นี่นักรบ รบกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กิเลสมันครอบหัว รบกับธรรมนะ เพราะมันอ้างอิงมันเอาธรรมเป็นหัวโขน แล้วสิ่งนี้กิเลสมันหลอกกินไปในธรรมนั้นไง มันต้อนธรรมอันนั้น ต้อนกิเลสมันซอกซอนไปในแง่มุมต่างๆ ของธรรมะ แล้วว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ เห็นไหม

มันไม่ใช่นักรบเลย มันเป็นสิ่งที่เป็นสัจธรรมปฏิรูป อ้างอิงแอบอิงสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หน้าที่นั้นเลยกลายเป็นหน้าที่สร้างสมกิเลส ไม่ใช่หน้าที่การชำระกิเลสเห็นไหม เราเป็นนักรบเราศรัทธาแล้วนะ เรามีศรัทธาเรามีความเชื่อ เราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ดูครูบาอาจารย์สิ เวลาครูบาอาจารย์ของเรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำไมกราบมาจากหัวใจ เพราะพระพุทธ.. พุทธะไง ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอย่างนี้ แล้วเราจะปฏิบัติกันอย่างไร

แต่เวลาเราปฏิบัติโดยกิเลสมันง่ายๆ นะ นี่ก็รู้ไปหมด สิ่งนี้เป็นสภาวธรรม สิ่งนี้เป็นสภาวธรรม มันธรรมของกิเลสทั้งนั้น กิเลสเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหัวโขนเห็นไหม

ดูสิ ทางโลกเขาๆ เข้าสังคมกัน เขาต้องมีมารยาทสังคม มีอะไรต่างๆ นี่ก็เหมือนกัน เวลาคุยธรรมะกัน เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอ้างอิง แล้วก็เป็นมารยาทของสังคม ไม่มีใครกล้าชำระกิเลส ไม่มีใครพูดแทงใจดำไง

ถ้าพูดแทงใจดำสิ่งนั้นมันเป็นเรื่องของกิเลสนะ ถ้าเป็นเรื่องของธรรมจะไม่พูดอย่างนั้นเลย ถ้าสักแต่ว่ามันสักแต่ว่าโดยความมหัศจรรย์ แม้แต่จิตมันปล่อยวางเข้ามา สักแต่ว่าแล้วถ้าจิตมันปล่อยวางนะ

จิตกับขันธ์.. ขันธ์คือความฟุ้งซ่าน ขันธ์คือความคิด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นความคิด เป็นความฟุ้งซ่าน เกิดจากใจ แล้วมันได้ข้อมูลที่เจ็บแสบปวดร้อน ข้อมูลที่มันกระเทือนหัวใจ มันจะกระเทือนหัวใจมาก ถ้าข้อมูลเป็นธรรมนะ เหมือนลมพัดชายเขาชั่วครั้งชั่วคราวเห็นไหม สิ่งนี้มันกระเทือนหัวใจ

สิ่งที่เป็นขันธ์มันสะเทือนหัวใจอยู่แล้ว ถ้าสิ่งที่มันเป็นข้อมูลอย่างนี้ แล้วเราพิจารณาของเขา เราพิจารณาธรรมอันนี้เข้ามาเห็นไหม ตัวจิต ! ตัวจิตเป็นตัวพิจารณา สิ่งที่พิจารณาเจ็บแสบปวดร้อนมันเกิดมาจากไหนล่ะ เกิดมาจากอวิชชาไง เกิดมาจากความไม่เข้าใจไง ไม่เข้าใจสิ่งใดๆ เลย สิ่งนี้มันเป็นอดีตอนาคต

เสียงสักแต่ว่าเสียง.. รูป รส กลิ่น เสียง สักแต่ว่าทั้งนั้นเลย มันเป็นธรรมชาติของเขา ถ้าไม่มีอย่างนี้เราจะสื่อสารกันอย่างไร เสียงเห็นไหม พูดเป็นสมมุติเป็นอย่างอื่นก็เป็นอย่างอื่นไป แต่เราไปให้ค่าของเขาเองว่าเสียงนี้มันมีมาโดยดั้งเดิมเห็นไหม สิ่งนี้มันมีมาโดยดั้งเดิม แต่มันมีอยู่กับใจ ก็เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว สิ่งนี้มันมีอยู่

สอุปาทิเสสนิพพาน ขณะที่มีชีวิตอยู่มันเศษส่วน สิ่งนี้มันเอาไว้สื่อสารกัน สื่อไปสู่ความจริง ธรรมที่แสดงธรรมอยู่นี้ “ธรรม” เอาขันธ์ ๕ แสดงออกมาโดยใจที่บริสุทธิ์ มันก็เป็นธรรมบริสุทธิ์ เพราะอะไร เพราะตัวจิตตัวธรรมแท้ๆ แต่ตัวธรรมของเรากึ่งหนึ่งคือความรู้สึกอันนี้ มันโดนสิ่งนี้ครอบงำอยู่ เราถึงต้องพยายามทำหน้าที่ของเรา ชำระสิ่งนี้ออกมา เพราะ ! เพราะจิตมันไม่เคยตายนะ

จิตนี้ไม่เคยตาย มันจะเปลี่ยนแปลงสภาวะแบบนี้ไปตลอด เราไม่ต้องไปตกใจเรื่องคำว่าตายเลย เพราะ ! เพราะกิเลสมันจะเอาสิ่งนี้มาหลอกลวงเรา ถึงเวลาต้องตายนะ ต้องเจอสภาวะแบบนี้ ทนไม่ได้นะ มันต้องบุบสลาย..

ให้มันเป็นไปเถิด ให้มันเป็นตามความเป็นจริงสิ อันนี้ไม่ได้เป็นตามความเป็นจริงเลย เพราะเราก็มานั่งประพฤติปฏิบัติอยู่ นั่งสมาธิเดินจงกรมอยู่ เราก็ทำของเราอยู่ แล้วมันผุดขึ้นมา มันแสดงตัวขึ้นมา อันนั้นมันเป็นอาการของมันขึ้นมา อาการด้วยนะ แล้วอาศัยกิเลสเข้าไปยุแหย่นะ แล้วเราก็เข่าอ่อนไปเห็นไหม ไม่กล้าปฏิบัติอะไรเลย

อะไรมันจะเป็นจะตายขอให้ได้เห็นก่อน ให้เห็นว่าสิ่งใดตายก่อนเห็นไหม ถ้ามันตายจริงๆ ก็คือตาย แต่นี่มันตายไม่จริง มันเป็นความคิดเฉยๆ ว่าจะตาย แล้วเราก็กลัวมัน กิเลสมันเอาความตายนี้มาอ้าง

สิ้นสุดของชาติปัจจุบันนี้คือการตาย ! ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แต่พลัดพรากดีหรือพลัดพรากไปในโลกอเวจี ถ้าพลัดพรากที่ดีเห็นไหม มันก็เกิดตายในวัฏฏะ แต่ลองดูสิ ประพฤติปฏิบัติไปนะ

“ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมันต้องดับเป็นเรื่องธรรมดา”

เห็นความเป็นธรรมดาของมันเห็นไหม สภาวธรรมมันเกิดขึ้นมา เห็นความเป็นธรรมดาของมัน ! การเกิดการตายเป็นสมมุติอันหนึ่ง จิตมันไม่เคยตาย ให้เห็นกิเลสมันขาดไปจากใจ มันจะอะไรมาตาย

ถ้ากิเลสตายคาหัวใจนี่เห็นไหม เวลาพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ การเกิดและการตายมีคุณค่าเท่ากัน การมีชีวิตอยู่และการตายก็มีคุณค่าเท่ากัน เพราะธรรมมันเป็นธรรมล้วนๆ แล้วไง ธรรมในหัวใจมันเป็นธรรมล้วนๆ แล้ว

แต่ถ้ามันเป็นกึ่งของธรรม กึ่งคือมีโอกาส เรามีโอกาสนะ เราเป็นนักรบ เราบวชแล้ว หน้าที่ของนักรบเห็นไหม หน้าที่ของเรา หน้าที่ของโลกเป็นเรื่องของเขานะ งานของโลกเขาเห็นไหม ถ้าเขาทำบุญกุศลของเขา เขาก็เป็นอามิส เขาทำบุญกุศลเพื่อสถานะ เพื่อยกพัฒนาให้เกิดจิตนี้ขึ้นมา

จิตนี้ถ้ามันได้เสียสละ มันมีอิสระมันระลึกถึงสังคมเห็นไหม มันเห็นแล้วสลดสังเวชนะ เพราะเราคนๆ หนึ่ง ถ้าเราอยู่ในสังคมแวดล้อม ดูสิ ปัจจุบันนี้ อากาศสดชื่นมาก ฝนตกมีความร่มเย็นเป็นสุขเห็นไหม ถ้าเกิดอากาศมันแห้งอากาศมันแล้งล่ะ อากาศมันก็ให้ผลกับเรานะ ผิวหนังนี้ร้อนมากไปตากแดดตากลมเหงื่อไหลไคลย้อย สังคมก็เป็นแบบนั้น

เราอยู่ในสังคมที่ดี เราจะมีความสุขของเรา ถ้าสังคมที่มีแต่ปัญหา เราอยู่ในสังคมนั้นมันก็เดือดร้อน แล้วสังคมมันเกิดมาจากใคร สังคมมันก็เกิดจากมนุษย์รวมตัวกันเป็นสังคมนี่แหละ

แล้วผู้ที่มีคุณธรรมเห็นไหม ทุกคนมีคุณธรรม เราเห็นสภาพสังคมนั้น เราชักนำสังคมนั้น ทำสังคมนั้นให้ขึ้นมาดี สิ่งที่อยู่อาศัยเราก็ดี สรรพสิ่งก็ดีเห็นไหม นี่คนดี ผู้ที่ดี คนที่ดีเป็นหัวหน้า ทุกอย่างจะเป็นคุณงามความดีไปหมดเลย

ถ้าคนชั่วล่ะ คนชั่วเป็นหัวหน้าใครจะเดือดร้อนช่างหัวมัน สะสมของตัวเองไว้คนเดียว อะไรก็ได้สะสมของตัวเองไว้ เก็บซ่อนเก็บสะสมไว้คนเดียว สะสมไว้ทำไม ? สะสมไว้ให้กิเลสมันพองตัวขึ้นมา ไม่ได้สะสมไว้ใช้จ่ายนะ เพราะการใช้การสอยมันก็เท่ากันทั้งนั้น คนมันมีปากมีท้องเหมือนกัน ใช้จ่ายเหมือนกัน แต่มันสะสมเพื่อความเอารัดเอาเปรียบของกิเลสไง กิเลสมันเหยียบหัวตัวเองยังไม่เข้าใจเลย คิดว่าสะสมไว้แล้วตัวเองจะได้ประโยชน์ ตัวเองจะได้ใช้สอยมากกว่าคนอื่นไง มากคนอื่นมาจากไหน มันจะมากไปไหน ก็ใช้เหมือนกัน เท่ากันเห็นไหม

แต่ถ้าคนที่มีคุณธรรม เราสละให้เขาไป เราใช้แต่ความจำเป็น ตามความพอดีของเราเห็นไหม มันเป็นธรรมไง ธรรมเกิดจากการได้มาเป็นธรรม ! การเก็บรักษาก็เป็นธรรม ! การใช้ก็เป็นธรรม ! คนที่เป็นธรรมมันจะเป็นธรรมตั้งแต่ต้นจนจบไง

ถ้ามันเป็นกิเลสเห็นไหม การได้มาก็ได้มาด้วยเล่ห์ด้วยเหลี่ยม การเก็บรักษาก็เก็บรักษาเพื่อให้ตัวเองได้มากกว่าคนอื่น การใช้ยิ่งใช้โดยสุรุ่ยสุร่าย ใช้โดยเกินความจำเป็น แล้วมันเกิดโทษอะไร เกิดโทษกับร่างกายไง

ดูสิ ดูทางโลกเขาเห็นไหม กินมาก นอนมาก ต้องไปลดความอ้วน ต้องเข้าคลินิกกัน ต้องไปเสียตังค์กัน กินก็เสียตังค์ จะถ่ายก็เสียตังค์ จะทำอะไรก็เสียตังค์เห็นไหม

แต่ของเราล่ะ ของเราโดยกิเลส กินก็กินพอกกิเลส ทำก็ทำพอกกิเลส เก็บรักษาไว้เพื่อพอกกิเลส แล้วนี่คือหน้าที่เหรอ ? หน้าที่อย่างนี้เหรอ ? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มีหน้าที่การพอกกิเลสหรือการฆ่ากิเลส ? ถ้าการฆ่ากิเลสมันก็ต้องสละออกสิ ถ้าการสละออกมันต้องเสียสละเห็นไหม ถ้าการเสียสละสังคมจะดีขึ้นมาไหม?

ถ้าสังคมดีขึ้นมา การประพฤติปฏิบัติของเราก็จะดีขึ้นมา ความเป็นอยู่ของเราก็ดีขึ้นมา เราจะมีอากาศที่บริสุทธิ์ เราจะมีป่าไม้ มีสิ่งต่างๆ ที่บริสุทธิ์ แต่ที่เพราะการเห็นแก่ตัวมันก็เบียดเบียนกัน ทำลายกัน การเป็นอยู่มันก็อัตคัดขัดสนกันไปทั้งหมด เกิดจากใคร ? ก็เกิดจากความโลภ เกิดจากความรัก เกิดจากความต้องการ เกิดจากคนที่แสวงหา

ในหน้าที่ของเราก็เหมือนกัน ในข้อวัตรปฏิบัติการแสวงหาของเรา การกระทำของเรา ถ้าสังคมเรายิ้มแย้มแจ่มใสเห็นไหม ดูสิ ดูร่างกายเราปกติ การเป็นอยู่ของเราจะเคลื่อนไหวสะดวกสบายมาก ร่างกายของเราเหยียบหนาม แค่หนามตำเท้าเท่านั้นการเดินของเราก็ผิดปกติแล้ว แล้วเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ไม่ปกติ

สังคมก็เหมือนกัน ในสงฆ์ของเราถ้าที่ไหนขาดแคลน ที่ไหนอุดมสมบูรณ์เกินกว่าเหตุเห็นไหม ไปสะสมไว้ที่หนึ่ง อีกที่หนึ่งไม่มีอยู่ มันเป็นธรรมไหม แล้วทำไมเราต้องปิดของเรา ทำไมเราต้องปกปิดความเป็นจริง ทำไมเราไม่เปิดเผย อย่างนี้มันก็เป็นการทำผิด เราทำผิด เราเห็นแก่ตัว

การเห็นแก่ตัวเห็นแก่ใคร ? ก็เห็นแก่กิเลส ก็กิเลสมันเห็นแก่ตัว พอกิเลสเห็นแก่ตัวมันก็ทำลายเรา หน้าที่อย่างนี้เหรอ หน้าที่ชำระกิเลสหรือหน้าที่พอกกิเลส ถ้าหน้าที่พอกกิเลสมันเป็นหน้าที่ของมาร มันเป็นหน้าที่ของกิเลสเห็นไหม

ดูสิ นักรบ เราจะรบอยู่แล้วนะ เรายังพลาดเลย ถ้านักรบหน้าที่ของเราคือเสียสละเห็นไหม ดูสิ เราจะฆ่ากิเลสอย่างไร ถ้าเราเสียสละออกไป มันอ่อนลงนะ กิเลสมันจะอ่อนตัวลง อ่อนตัวลง ทิฐิมานะ ทิฐิของเราเห็นไหม มานะ ๙ เสมอกว่าเขา สำคัญตน ถ้าเสมอกว่าเขา เราเสมอกัน ภิกษุบวชมาด้วยกัน เป็นสมมุติสงฆ์ด้วยกัน ศีล ๒๒๗ ข้อเท่ากัน เราเสมอกันด้วยศีล เสมอกันทุกอย่างเลย สิทธิเสมอภาคหมดเลย

หน้าที่เห็นไหม หน้าที่ก็เหมือนกัน ความเสมอกัน ถ้าเราเสมอกันอยู่อย่างนี้ การประพฤติปฏิบัติของเราอย่างนี้ แต่ถ้ามีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจ เราเคารพกันด้วยคุณธรรมนะ นี่พรรษานี้ตามธรรมวินัย แต่ถ้ามีคุณธรรมขึ้นมาด้วยมันจะซึ้งหัวใจมาก

ถ้ามีคุณธรรม คุณธรรมอันนี้ที่เราแสวงหากัน เพราะ ! เพราะถ้ามีคุณธรรม จะเป็นที่พึ่งของเราได้ ถ้าไม่มีคุณธรรม ผู้ที่สูงกว่าพยายามจะชักจูงผู้ที่อยู่ต่ำกว่าให้เสมอเราหรือสูงขึ้นกว่าเราเห็นไหม สังคมสงฆ์จะเข้มแข็งขึ้นมา ถ้าสังคมสงฆ์เข้มแข็งขึ้นมาโดยธรรม เห็นไหม สิ่งที่เป็นธรรมในสังคมมันจะมีประโยชน์กับทุกๆ คนเลย มีประโยชน์กับเราก่อน

ดูสิ อากาศสดชื่น เราหายใจแล้วมีความสดชื่นไหม ? ถ้าอากาศสดชื่นเราหายใจแล้วสดชื่น แล้วคนอื่นจะหายใจสดชื่นไหม ? มันสดชื่นไปหมด ร่างกายที่มันสดชื่นไปหมด การเคลื่อนไหวของสังคม สังฆะมันก็ขับเคลื่อนไปด้วยความเป็นธรรม

ธรรมะทุกคนเรียกร้องนะ เที่ยวร้องขอความเป็นธรรม ร้องขอความเป็นธรรมทั้งหมดเลย นี้กิเลสในหัวใจของเรามันเหยียบย่ำอยู่ แล้วใครร้องขอความเป็นธรรมล่ะ

หน้าที่ของเราคือปัดมันออก หน้าที่ของเราคือพยายามให้กิเลสมันบางลง บางลงๆ จนกว่าเราจะทำลายมันได้นะ ถ้าเราทำลายมันไม่ได้เราจะไม่เห็นธรรม ถ้าเราเห็นธรรมนะ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

ถ้าเราเห็นธรรมขึ้นมาในหัวใจของเรา ใจมันจะเป็นธรรมขึ้นมา แล้วใจเป็นธรรมขึ้นมาเห็นไหม วิธีการ.. ดวงตาของโลก ผู้ที่อบรมสั่งสอนโลก อัตตา หิ อัตตโน นาโถ เป็นหัวใจของศาสนาเรา อัตตา หิ อัตตโน นาโถ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่ที่โคนต้นโพธิ์ ใครไปดูแล ปัญจวัคคีย์ดูแลมา ๖ ปีนะ ทำแล้วผิดถูก ผิดถูกอยู่ตลอดเวลา

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ขึ้นมาด้วยพระองค์เองที่โคนต้นโพธิ์เห็นไหม “อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ในปัจจุบันนี้ คืนนี้นั่งแล้ว ถ้าไม่สำเร็จจะไม่ลุกจากที่นั่งนี้เด็ดขาดเลย จะเป็นตายอย่างไรก็แล้วไป เพราะได้ทดสอบได้ตรวจสอบมาหมดแล้ว ว่าในลัทธิต่างๆ ในการกระทำมาต่างๆ ในศาสนาอื่นมันเป็นสิ่งที่ไม่เข้าทางเลย ปฏิบัติมาแล้ว สมาบัติเข้าขนาดไหนมันก็เสื่อมสภาพไป เวลาออกมาจากสมาบัติก็เป็นธรรมดาเห็นไหม

แต่เวลากิเลสมันเข้าไปชำระนะ เวลากิเลสมันฟื้นตัวขึ้นมา สิ่งนี้ออกมาเป็นปกติ มันก็อารมณ์ปกติเห็นไหม แต่ถ้าอาสวักขยญาณมันทำลายกิเลสไปแล้วเห็นไหม มีชีวิตอยู่ มีลมหายใจอยู่ มีต่างๆ อยู่ มันเป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องของโลกๆ เขา โลกๆ เขาเพราะเราเกิดมาเห็นไหม

ดูสิ เวลาเราเกิดขึ้นมาเกิดจากพ่อจากแม่ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อัตตา หิ อัตตโน นาโถ นี่เกิดมาจากใคร เกิดจากที่เรานั่งสมาธิภาวนา เกิดมาจากเดินจงกรมขึ้นมา มันเกิดมาจากในธรรมนี้ ในหัวใจที่กึ่งหนึ่งของความรู้สึกอันนี้มันโดนกิเลสอยู่ แล้วถ้ามันทำลายกิเลสออกไป มันสะอาดบริสุทธิ์

สิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์มันจะเกิดตายอีกไหม ? ถ้ามันไม่เกิดตายอีกแล้วความตายมาจากไหน ? ที่ว่ากลัวตายๆ เวลาปฏิบัติไป “ตายนะๆ” ทุกอย่างก็จะตาย พอมีความตายขึ้นมาเข่าอ่อนหมดเลย ถ้าไปเอาความตายเข้ามาเข่าอ่อนหมด แล้วเวลากิเลสมันตายไปแล้ว อะไรมันตาย ? อะไรมันตายเห็นไหม

ถึงบอกว่ากิริยาเฉยๆ เวลาผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วที่มีชีวิตอยู่ ถ้าไม่มีเจตนา.. กรรมไม่มีเห็นไหม

ถ้ากรรมไม่มีทำไมพระโมคคัลลานะโดนทุบตายล่ะ พระโมคคัลลานะโดนทุบตายนั้นมันเป็นกรรมเก่า กรรมของร่างกาย กรรมที่เคยทำกับแม่ไว้ การทำกับแม่ไว้มันเป็นกรรมเก่า แล้วสิ่งนี้มันตามมาเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันยังมีร่างกายอยู่ มันยังมีวัตถุ มีธาตุที่สืบต่อกันได้

แต่เวลาเป็นเรื่องของจิต มันเข้าถึงจิตได้ไหม เข้าถึงจิตไม่ได้ วาระสุดท้ายเวลาพูดถึงร่างกาย ร่างกายนี้บุบสลายไปแล้วเห็นไหม เอาฤทธิ์รวมร่างกายขึ้นมากลับมาลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ให้เห็นความสมควรแก่เวลาของเธอเถิด” สมควรแก่เวลา ไม่ดึงไว้ ไม่จับไว้ รอให้พระพุทธเจ้าเทศนาว่าการแล้วกลับไปที่เดิม คลายฤทธิ์ออก ถึงกลับสู่สภาพเดิม แล้วหัวใจสะเทือนอะไรไหม ?

คนเรานะเจ็บปวดขนาดนั้น ทำไมยังรักษาใจไว้ได้ปกติ ทำไมถึงเอาฤทธิ์ให้ร่างกายกลับมาปกติแล้วเหาะมาได้เห็นไหม เพราะมันไม่สะเทือนใจไง มันสะเทือนถึงใจไม่ได้ มันสะเทือนถึงธรรมแท้ๆ ไม่ได้ ธรรมเหนือโลก !

ธรรมเหนือโลก สิ่งที่ว่าเป็นวิหารธรรม สิ่งที่ไม่มีเจตนา กิริยาเฉยๆ อย่างนี้มันถึงไม่มีกรรม สิ่งนี้ไม่มีกรรม แต่ถ้าเรายังประพฤติปฏิบัติไม่ถึงสิ่งนี้เป็นกรรมทั้งหมด เพราะ ! เพราะถ้าไม่มีคำสั่ง ไม่มีพลังงาน มันจะเคลื่อนไหวไปได้อย่างไร ? ไม่มีจิต อาการของจิตเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ? ไม่มีจิต ไม่มีพลังงานอันนี้ ความคิดจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เครื่องใช้ไฟฟ้านี้ที่ไฟดับมันจะทำงานได้อย่างไร ?

สิ่งที่อาการของใจต่างๆ เกิดขึ้นมาจากใจทั้งหมด แล้วใจเป็นอวิชชา ใจเป็นมาร ออกมา มันจะพ้นจากมารไปไหน มันเป็นมารล้วนๆ มันถึงเป็นกรรมล้วนๆ ไง กรรมล้วนๆ มันก็ให้ผลกับเราล้วนๆ ไง สิ่งนี้หน้าที่มันถึงย้อนกลับมากับเรา ถ้าเราปฏิบัติกัน เรามีการประพฤติปฏิบัติของเราเห็นไหม

หน้าที่ของสงฆ์ หน้าที่ของเรา หน้าที่ของนักรบต้องทำนะ ถ้าเราทำของเราขึ้นมาเห็นไหม หน้าที่ของโลก ดูสิ อาบเหงื่อต่างน้ำต้องหาอยู่หากินของเขา เราเห็นไหม ภิกษุเป็นผู้ขอ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้เป็นอย่างนี้ แล้วเราเกิดมาพบธรรมวินัยเห็นไหม

ดูสิ มีบาตรไปบิณฑบาต สิทธิมีพร้อมเลย เช้าขึ้นมาสะพายบาตรออกไป เขาใส่บาตรเราอยู่แล้ว สิ่งนี้มันเป็นความวิตกกังวลของเราไหม อาหารก็ไม่ต้องเป็นความวิตกกังวลของเรา

ผ้า ปัจจัย ๔ เป็นที่วิตกกังวลของเราไหม มีคนส่งเสริมเราตลอดเวลา แต่หน้าที่ของเราๆ ขาดตกบกพร่องไปไหม หน้าที่ของเราได้ทำความสงบของใจบ้างไหม ปัญญาได้เกิดขึ้นมาบ้างไหม ได้ชำระได้ทำให้มันเบาบางลงไหม

ถ้าเบาบางลงเราก็เป็นนักรบโดยถูกต้อง ถ้าเราไม่ทำลายของเราเลย เราไปสะสมไปพอกพูนขึ้นมาอีกต่างหากนะ ถ้าพอกพูนขึ้นมา เราจะมาฆ่ากิเลสหรือเราจะมาชำระกิเลสเห็นไหม

แล้วเราเกิดมาว่าพระ หรือผู้ปฏิบัติคนอื่น หมู่คณะอื่นเขาทำไม่ดี สิ่งนั้นก็ไม่ดี สิ่งนี้ก็ไม่ดี สิ่งที่เขาไม่ดีแล้วเราจะทำไม่ดีกับเขาไหม ถ้าเราไม่ทำดีกับเขา แล้วสิ่งที่ทำดีคืออะไร ? สิ่งที่ทำดีในศาสนาคืออะไร ? อยู่ในศีลในสัตย์นี่เหรอ ถ้าอยู่ในศีลในสัตย์ ดูต้นไม้มันไปผิดศีลที่ไหนล่ะ

เราสร้างสิ่งวัตถุขึ้นมาแล้วมันไปทำลายใครบ้างล่ะ ? มันก็อยู่ของมันนะ เราจะทำจิตของเราให้มันเป็นวัตถุอันหนึ่งเหรอ ? เราจะทำจิตของเราให้เป็นสุขกับตัวต่างหาก ให้มันมีความสุขของมัน มีความสุขเห็นไหม ถ้ามีความสงบของใจ ใจมันมีความสงบมันก็มีความสุขในขั้นของสมาธิ สุขที่เกิดจากความสงบไม่มี ความสงบอย่างนี้เป็นความสงบในอนิจจัง เพราะอะไร เพราะมันยังมีแรงขับเคลื่อนอยู่ แล้วความสงบอย่างนี้จะให้คงที่ทำอย่างไร

สิ่งที่ว่าจิตมันปล่อยวางทั้งหมด แล้วจะให้มันคงที่ไม่ให้มันเสื่อมสภาพมันเป็นอย่างไร มันก็ต้องมีสิ่งเร้า สิ่งเร้าคือตัณหา วิภวตัณหา

ตัณหา-วิภวตัณหา สิ่งที่พอใจก็อยากปรารถนา สิ่งที่ไม่พอใจก็พยายามผลัก แรงผลักและแรงดึงดูด สิ่งที่เป็นแรงผลักและแรงดึงดูด พลังงานอันนี้เป็นพลังงานสกปรก

แต่ถ้าเราชำระกิเลสออกไปแล้วเห็นไหม พลังงานสะอาดมันเป็นพลังงานเฉยๆ เห็นไหม กึ่งของธรรมคือพลังงานที่สกปรกมันมีแรงดึงดูด มีแรงขับอยู่

แต่ถ้าเป็นธรรมแท้ๆ ธรรมที่มีอยู่ แล้วภาชนะใส่ธรรมคือหัวใจ หัวใจที่มีอยู่แล้วนี้ สิ่งนี้มันมีอยู่แล้วๆ ทำความสะอาดขึ้นมา มันจะสะอาดได้อย่างไร ถ้าไม่มีมรรคญาณ ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล

แล้วมรรคมันอยู่ที่ตัวหนังสือเหรอ ? มรรคมันอยู่ที่การกระทำจากสัมมาอาชีวะที่โลกเขาปฏิบัติเหรอ ? ไอ้นั่นมันเป็นมรรคของคฤหัสถ์ มรรคของนักรบ มรรคของพระเรา มรรคของหน้าที่โดยตรงโดยการชำระกิเลสนี้มันเป็นมรรคจากภายใน มรรคจากภายในคืออาการไง

มรรคญาณ ฟังสิ ! มรรคญาณ ปัญญาญาณอันหนึ่ง ใช้ปัญญาเข้ามาถึงเป็นญาณ ปัญญาเห็นไหม ปัญญาหยั่งรู้ แล้วมีความรู้สึกรับความรู้อันนี้ ปัญญาหยั่งรู้มันพยายามทำความเข้าใจเห็นไหม ความเข้าใจนี้ปัญญาเกิดมาจากไหน เกิดมาจากปัญญาของจิต ความคิดของจิตนะ ปัญญาจากสมองมันคือปัญญาวิชาการของทางโลก ปัญญาวิชาชีพ

ปัญญาของใจล่ะ ปัญญาของใจมันเกิดจากขันธ์ เกิดจากความรู้สึกจากภายใน แล้วมันชำระกิเลส ปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญาหยาบๆ นะ เพราะมันเกิดจากขันธ์ สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง

แต่เวลาเป็นปัญญาญาณ ญาณเฉยๆ ญาณที่ความรู้สึก ความรู้สึกที่เป็นญาณเป็นอย่างไร ? ความรู้สึกที่มันชำระกิเลส มันฆ่ากิเลสนี้มันทำอย่างไร ? มันเกิดมาจากไหน ? สิ่งนี้มันเกิดมาจากไหน ? มันอยู่ในใจเรา สิ่งนี้มรรคมันเกิดอย่างนี้

ถ้ามรรคมันเกิดอย่างนี้ นักรบๆ โดยถูกต้องเห็นไหม กองทัพเรา กองทัพธรรมที่เข้าไปชำระเห็นไหม ให้สิ่งที่เป็นความสกปรกโสโครกในหัวใจของเรา สกปรกนะ ทุกคนรู้อยู่ตัวไม่ต้องมองหน้าใคร ไม่ต้องถามใครเลย เพราะอะไร สิ่งนี้มันเผาลนเราในใจ มันมีแน่นอน คนเกิดมามีกิเลสทั้งหมด แล้วไม่ต้องถามใครว่าทุกข์หรือไม่ทุกข์ แม้แต่การขับถ่าย เข้าส้วมไม่ได้ อั้นอยู่นั้นก็ทุกข์ตายห่าแล้ว !

แล้วบอก “ไม่ทุกข์ๆ เกิดมาไม่เคยเจอความทุกข์” เวลาอั้นการขับถ่ายมันก็เป็นความทุกข์เห็นไหม วัจกุฎีวัตร แม้แต่เข้าส้วมยังมีวัจกุฎีเลย

กุฎีเราจะทำวัตรอย่างไร การเข้ากุฎีจะเปิดประตูอย่างไร จะปิดอย่างไร เลิกผ้าอย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงการขับถ่ายนะ ว่าขับถ่ายนี้ต้องไม่ให้มันผิดศีล เห็นไหมศีลบังคับไว้เลย แล้วเวลาจิตมันขับถ่าย แล้วกิเลสมันโดนขับออกไปจากกึ่งของธรรม กึ่งความรู้สึกอันนี้

เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นอะไร เขาก็มีความรู้สึกเหมือนกัน นี่สัตว์เดรัจฉานกับสัตว์ประเสริฐ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเขาอาศัยสัญชาตญาณ เกิดเป็นมนุษย์แล้วถ้าพบพุทธศาสนา ดูสิ ศาสนานี้เจริญรุ่งเรืองมาก

แต่ดูทางโลกเขาสิ เขาใช้ชีวิตของเขาอย่างไร เขาเคยสนใจไหม เวลาเขาพลีชีพกันเขาบอกว่านั้นได้บุญ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ไม่มี การทำร้ายตัวเองเป็นบาปมหาศาล” การทำร้ายตัวเองเพราะอะไร เพราะสิทธินะ การทำลายคนอื่น ปาณาติปาตา การฆ่าสัตว์เป็นความผิดทั้งหมดเห็นไหม พระเราถ้าฆ่ามนุษย์ ฆ่าต่างๆ ขาดจากพระเลย

แต่ของเขาเห็นไหม ดูสิ ชีวิตของเขาเป็นอย่างนั้น ถึงบอกว่าเกิดในพุทธศาสนาศาสนาเจริญรุ่งเรือง แล้วเขามีความรู้สึกอะไร เจริญรุ่งเรืองในหมู่คณะเรา ในผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เจริญเพราะเรามีหน้าที่ แล้วหน้าที่ของเราหน้าที่โดยตรง ถ้าหน้าที่โดยตรงมันก็เหมือนกับนายช่างใหญ่ เขาทำสิ่งใดออกมาเป็นประโยชน์กับโลก

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นนายช่างใหญ่ จะแก้ไข จะทำเห็นไหม เรือนในหัวใจเราจะทำลายมันให้หมด ยอดของเรือนเราก็ต้องทำลาย ทำลายสิ่งต่างๆ นายช่างใหญ่ ช่างทั้งโลกเขาประกอบเพื่อสิ่งที่เป็นวัฏฏะ ในธรรมะมรรคญาณจะทำลายสิ่งที่เป็นเชื้อไข สิ่งที่เป็นวัฏฏะออกมาทั้งหมด ถ้าทำอย่างนี้ได้จะเป็นประโยชน์กับเรานะ แล้วสิ่งต่างๆ เห็นไหม นายช่างถ้าไม่มีวิชาการจะเป็นนายช่างได้ไหม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่เห็นการกระทำของใจ เราไม่เห็นมรรคญาณ เราไม่เห็นต่างๆ เราจะสอนเขาได้ไหม ถ้าเราไม่รู้จักวิธีการ เราไม่เห็นช่าง เราก็ทำสิ่งต่างๆไม่ถูก ลูกศิษย์มันจะหัวเราะเยาะเอานะ ดูสิ จะสอนเขาทางวิชาการต่างๆ จับเครื่องมือก็ผิด ทำอะไรผิดไปหมดเลย แล้วจะไปสอนเขาได้อย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าสิ่งที่มันเป็นสัจจะความจริง มันมีอริยสัจเกิดจากภายในเห็นไหม เราจะทำลายทั้งหมด แล้ววิธีการทำลาย ทำลายอย่างไร ? จนกึ่งของธรรม ความรู้สึกที่โดนอวิชชาปกคลุมไว้ เราจะทำลายทั้งหมด จนเป็นธรรมแท้ๆ มันเป็นอย่างไร ?

ธรรมแท้ๆ นี้เกิดมาจากใจเรานะ ธรรมแท้ๆ เห็นไหม อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วถ้าตนพึ่งตนเองได้แล้ว ถ้าเราพึ่งตนเองได้ ใจสู่ใจ ใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ถ้าใจดวงนี้มันเข้าใจภาษาของมันแล้ว ใจดวงหนึ่งก็เป็นอย่างนี้

กิริยาภายนอกอาจจะคลาดเคลื่อนกันบ้าง เพราะเป็นจริตนิสัย แต่ความรู้สึกอันเดียวกัน ..เกลียดทุกข์ ปรารถนาความสุข.. แล้วความสุขอย่างหยาบเห็นไหม ถ้าคนที่มีความคิดคับแคบ ความสุขของเขาก็คือความสุขที่ว่าเขาได้เสพสิ่งที่จิตมันต้องการเท่านั้นเห็นไหม

เกลียดทุกข์ ปรารถนาความสุข.. แล้วสุขของใคร? สุขของผู้ที่แสวงหาทางโลกมันก็เป็นสุขอย่างนั้น สุขที่เป็นอย่างนั้น เขาว่าของเขาเป็นความสุข แต่เราเห็นว่าเป็นความทุกข์ เพราะ ! เพราะมันเป็นตัณหา มันเป็นการแสวงหาเห็นไหม คนปรารถนาสิ่งใดก็แสวงหาสิ่งนั้น แล้วไม่มีความสุขจริงหรอก เพราะสิ่งที่แสวงหามันยังมีการขับเคลื่อนอยู่ มันไม่มีความสุข

แต่ถ้าความสงบเห็นไหม ความนิ่งของใจ ใจนิ่งไม่ได้ถ้ามีกิเลส กิเลสขับเคลื่อนอยู่นิ่งไม่ได้ แต่ถ้าสิ้นกิเลสแล้วนิ่งได้ สิ่งนี้แหละหน้าที่ของเราคือการแสวงหา ถึงที่สุดแล้วมันหยุด

หน้าที่ของเราจะสิ้นสุดได้ หน้าที่ของโลกเขาไม่มีที่สิ้นสุด เกิดตายๆ ไปอย่างนี้ ประกอบสัมมาอาชีวะ เป็นจักรพรรดิมหาจักรพรรดิขนาดไหน เขาก็ต้องตายไป ตายไป ทิ้งไว้แต่ประวัติศาสตร์เห็นไหม หน้าที่ของเขาไม่จบ แต่หน้าที่ของเราจบนะ

หน้าที่ของนักรบ หน้าที่ของพระ หน้าที่ของภิกษุ ทำตามมรรคญาณ ทำตามมรรค ๘ เห็นไหม ถ้าพูดอย่างนี้ทางโลกเขาบอกมันสูงเกินไป แค่ถือศีลก็ยังทำไม่ได้แล้ว เพราะเขายังไม่เชื่อกันว่าพระจะถือศีลได้บริสุทธิ์ไง

แต่ถ้าเป็นนักปฏิบัติเรานะ ถ้ามันเกิดมาจากใจ ใจสิ้นกิเลสแล้วนี่ทำได้ ถ้าทำไม่ได้ใจดวงนั้นจะสิ้นกิเลสได้อย่างไร หน้าที่ของเราสิ้นสุดได้ ถ้าหน้าที่ของเราคือหน้าที่ในมรรค มรรคคือทำหน้าที่ได้ถูกต้อง เลี้ยงอารมณ์ เลี้ยงความรู้สึก เลี้ยงมรรค เลี้ยงข้อวัตรปฏิบัติ เลี้ยงสิ่งต่างๆ ในหัวใจให้มันเข้มแข็งขึ้นมา

ถ้ามันเข้มแข็งขึ้นมาเห็นไหม ถ้าจิตใจวุฒิภาวะเข้มแข็งขึ้นมา จิตใจเหมือนกับเพชร สิ่งใดจะขวางหน้าจิตใจอันนี้ไม่ได้ จิตใจอันนี้มันจะคว้าคุณสมบัติของใจมันมา จะเอาธรรมมาสถิตในหัวใจของเรา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีอยู่แล้ว จะมาสถิตในใจของเรา เอวัง